สำหรับในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่นั้นเริ่มต้นเปิดร้านค้าบน social media เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องลงทุนสูง และง่ายต่อการที่คุณจะสร้างแบรนด์ขึ้นมา และคนส่วนมากยังไม่รู้จัก การทำเว็บ E-commerce แต่ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจของคุณถึงเป้าหมายสูงสุดนั้น การขายสินค้าบน Socail media นั้นอาจจะยังไม่เพียงพอ ทำให้หลายๆ ธุรกิจที่ต้องการจะขายฐานลูกค้าออนไลน์ มักหันไปทำ ecommerce platform เพิ่มเติม หรือลงขายสินค้าผ่านทาง Market Piace อย่าง Lazada และ Shopee และการทำเว็บ Ecommerce นั้นก็จะช่วยสร้าง ความมั่นคงให้กับตัวแบรนด์สินค้าได้อย่างดี และสามารถทำการตลาดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย การจะทำให้เว็บไซต์ Ecommerce ให้ประสบความสำเร็จนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก หากคุณมีการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณอยู่ตลอดเวลา
Ecommerce คือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออีกอย่างที่เราเรียกง่ายๆ ก็คือการทำธุรกิจซื้อขายสินค้า และแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตโดยแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ในการโฆษณา รวมไปถึงเป็นการแลกเปลี่ยนสื่อสารกันระหว่างร้านค้า และลูกค้า จุดเด่นๆ ของ e commerce คืออะไร นั้นคือการที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านค้า และเลือกซื้อสินค้าของร้านค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นั่นก็หมายความว่า หากธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ตลอดเวลา และยังกดซื้อสินค้าได้ ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
1. E-commerce ชอบเว็บที่เป็น User-Friendly
วันนี้ Digital Factory จะมาแนะนำทริคเล็กๆ แต่ห้ามมองข้ามให้ฟัง 80% ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ต้องการเว็บที่ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย สะดวก เลือกซื้อสินค้าง่ายๆ โดยการสำรวจของเรามีผู้ชอบความสวยงามของเว็บไซต์เพียงแค่ 10% เท่านั้น
เพราะจริงๆ แล้วการออกแบบเว็บไซต์แบบ E-commerce ก็คือการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ที่เข้ามาใช้บริการ หากเว็บของคุณนั้นมีความซับซ้อนมากจนเกินไป มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากการใช้บริการเว็บไซต์ของคุณ
กว่า 60% ของการชำระเงินทางออนไลน์ มาจากการซื้อสินค้าผ่านมือถือ หากคุณต้องการที่จะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ผมบอกได้เลยว่าเว็บคุณควรจะต้องเป็น Responsive Website หรือรองรับการใช้งานแบบมือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ด้วย ข้อดีของการใช้ Responsive Website นอกจากที่จะให้ความสะดวกแก่ลูกค้าของคุณแล้ว เว็บไซต์ไหนที่รองรับมือถือยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google อีกด้วย
3. ภาพประกอบบนเว็บไซต์ต้องคมชัดดูง่าย
ภาพสินค้าที่คุณจะนำลงมาขายในร้านของคุณนั้น ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วก็จะลงได้เลย ควรจะทำให้คมชัด มีความน่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อของ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่นั้น ต้องการเห็นสินค้าหลายๆ มุมมอง เพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อสินค้า รวมถึงการซูมเข้า – ออกเพื่อดูความแตกต่างของสินค้า
ผมจึงอยากให้ทุกๆ คนรู้ไว้เลยว่าภาพสินค้านั้นสำคัญมากๆ ไม่ใช่ข้อความ
4. โปรโมชั่นหรือ ข้อเสนอที่น่าสนใจ
การจัดโปรโมชั่นหรือแคมเปญ หรือกิจกรรมทางการตลาด เป็นอีกหนึ่ง กลยุทธ์การตลาด ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ เว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชันที่สามารถจัดโปรหนักๆ ลด แลก แจกกระจาย แคมเปญเหล่านี้จะช่วยให้ยอดขายของคุณนั้นพุ่งกระฉูดได้ไม่ยากเลย
5. ระบบการสั่งซื้อ/ตะกร้าใส่สินค้า
ฟีเจอร์เว็บที่ทำเป็น ecommerce enabler คือ ควรที่จะมีและขาดไม่ได้เลยคือ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบการสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าของคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าควรที่จะมีประสิทธิภาพที่ดีที่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน ราคา, ส่วนลด, จำนวน, ค่าจัดส่ง และสามารถพาลูกค้าของเราไปที่หน้าชำระเงินได้อีกด้วย ครบจบในที่เดียวสะดวกสุดๆ
6. Search & Filter
ฟีเจอร์ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ Search หรือ Filter ถือเป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญมากๆ เหมือนกันสำหรับเว็บไซต์ ecommerce platform เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าบนเว็บของเรานั้นขายสินค้าอะไรบ้าง ชนิดไหนบ้าง ฟีเจอร์นี้สามารถทำให้ลูกค้าหาสินค้าได้เลยง่ายๆ
7. สินค้าที่เกี่ยวข้องกัน
การที่เว็บไซต์ของเรานั้นสามารถที่จะแนะนำสินค้าที่คล้ายกันหรือเกี่ยวข้องกัน ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางทำให้ลูกค้านั้นได้ค้นหาสินค้าต่างๆ ได้ง่ายขึ้น หรือสินค้าที่ลูกค้านั้นต้องการที่จะซื้อนั้นหมดสต๊อก ลูกค้าก็สามารถซื้อสินค้า ยี่ห้ออื่นหรือใกล้เคียงกันได้ ระบบแนะนำสินค้าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเป็นอย่างดี
8. Social Proof
Social Proof นั้นคือการใช้บุคคลมาบอกต่อสินค้า ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมากให้กับธุรกิจของคุณ และยังเป็นการโน้มน้าวใจลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณ
มีนักช้อปปิ้งออนไลน์มากกว่า 90% ที่อ่านรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อสินค้านั้นๆ หรือบริการที่มีรีวิว 3-4 ดาวขึ้นไป (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น)
โดย Social Proof ที่ถูกนำมาใช้กับการตลาดนั้นมีอยู่ 5 ประเภทด้วยกันได้แก่
- การให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้ามาการันตีให้เรา
- การใช้คนดังที่มีชื่อเสียงมาบอกเล่าถึงสินค้าของเรา
- การรีวิวจากผู้ใช้งานจริง
- การบอกต่อ ปากต่อปาก
- การใช้กระแสดังๆ นำเสนอสินค้า
นอกจากนี้มีสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ง่ายๆ เกี่ยวกับกลยุทธ์การโปรโมทสินค้า เพิ่มเติมได้จากที่นี่
บทสรุป
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับ 8 ข้อที่ผมนำมาเสนอวันนี้ หากคุณต้องการต่อยอดธุรกิจของคุณด้วยการตลาดออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจชัดเจน นี่แหละคือ 8 เคล็ดลับที่ผมนำมาเสนอให้คุณ รับรองได้เลยว่าถ้าคุณนำไปใช้ ธุรกิจของคุณจะต้องเติบโตอย่างรวดเร็วแน่นอน และเราขอแอบกระซิบโปรเจคใหม่ที่กำลังจะคลอดภายในปี 2565 แพลตฟอร์มขายของอันยิ่งใหญ่สุดตระการตาสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิ๊ก !!